ดอกกล้วยไม้เป็นดอกไม้สมบูรณ์เพศ มีอวัยวะเพศตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน และอยู่บนชิ้นส่วนที่เป็นหลักชิ้น เดียวกันด้วย ตรงศูนย์กลางด้านหน้าของดอกจะมีชิ้นส่วนนี้ยื่นออกมา ซึ่งเราเรียกว่า "เส้าเกสร" (column) ตรงปลายเส้าเกสรนี้มีลักษณะเป็นโพรงและมีฝาครอบ หากเปิดฝาครอบออกก็จะได้พบเกสรตัวผู้ (pollinia) อยู่ภายใน เม็ดเกสรตัวผู้มีจำนวนเป็นคู่ แล้วแต่ชนิดของกล้วยไม้ แต่ละเม็ดประกอบขึ้นจากเกสรตัวผู้จำนวนมากมายประสานเป็นเนื้อเดียวกัน เม็ดเกสรตัวผู้ของกล้วยไม้บางชนิด มีก้านซึ่งมีลักษณะเหนียวและยืดหยุ่นได้ บริเวณด้านใต้ของปลายเส้าเกสรนั้น มีลักษณะเป็นแอ่งและมีน้ำซึ่งข้นคล้ายแป้งเปียกอยู่ในแอ่งนี้ เราเรียกว่า "ปลายเกสรตัวเมีย"(stigma) ระหว่างโพรงที่อยู่ของเกสรตัวผู้กับปลายเกสรตัวเมียที่มีเยื่อบางๆ กั้นไว้โคนของเส้าเกสรซึ่งเป็นศูนย์รวมของกลีบทุกกลีบของดอกกล้วยไม้นั้น เชื่อมโยงเป็นชิ้นเดียวกันกับก้านดอก (pedicel)ซึ่งอยู่ด้านหลัง และส่วนของก้านดอกที่อยู่ถัดจากกลีบดอกออกไปทางด้านหลังนี้เองคือ รังไข่ของตัวเมีย (ovary) ภายในเป็น โพรงและมีไข่อยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากปลายเกสรตัวเมียได้ รับการผสมโดยเม็ดเกสรตัวผู้ และถ้าการผสมเริ่มบังเกิดผล กลีบดอกจะเริ่มเหี่ยว และก้านดอกส่วนที่อยู่ใกล้กลีบดอก และมีลักษณะเป็นร่องยาวของก้านดอก ซึ่งก็คือส่วนที่เป็นรังไข่ของ ตัวเมีย ก็จะขยายตัวเจริญขึ้นเป็นฝักของกล้วยไม้ ถ้าการผสมระหว่างเชื้อตัวผู้และไข่ของตัวเมียภายในรังไข่สมบูรณ์เป็นปกติภายในฝักก็จะมีเมล็ดกล้วยไม้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากมายหลาย
แสนเมล็ด เมื่อเมล็ดแก่จัด จะหลุดจากผนังของฝักรวมๆ กันอยู่มีลักษณะเป็นผงละเอียดมาก หากผนังฝักมีรอยร้าวหรือแตกเมื่อใด เมล็ดเหล่านี้ก็จะปลิวไปตามกระแสลมได้ฝักกล้วยไม้นับตั้งแต่ผสมเกสรจนถึงฝักสุก ใช้ระยะเวลาตั้งแต่ประมาณ ๑ เดือนไปจนถึงประมาณ ๒ ปี สุดแล้วแต่ ชนิดของกล้วยไม้ อาทิเช่น กล้วยไม้ในสกุลสแพโทกลอตทิส ซึ่งพบขึ้นอยู่ตามโขดหินในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย และในเขตดินแดนมาเลเซียนั้น มีอายุฝักประมาณ ๓๐ วัน กล้วยไม้ฟ้ามุ่ย (Vanda coerulaea) ซึ่งพบ อยู่ตามธรรมชาติในจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย และประเทศใกล้เคียง มีอายุฝักตั้งแต่เริ่มผสมเกสรจนถึงฝักสุก ประมาณ ๑๕-๑๘ เดือน กล้วยไม้สกุลหวายเดนโดรเบียมและสกุลคัทลียา รวมทั้งแวนดาลูกผสมต่างๆ ที่นิยมผสมและเลี้ยงกันอยู่ในประเทศไทยนั้น มีอายุฝักตั้งแต่ผสมจนถึงฝักสุกผิดเพี้ยนกันไประหว่าง ๓-๘ เดือน โดยทั่วๆ ไปแล้วในกล้วยไม้สกุลเดียวกัน ฝักของกล้วยไม้ลูกผสมจะมีอายุสั้นกว่ากล้วยไม้ป่าหรือกล้วยไม้พันธุ์แท้ ความผิดเพี้ยนของสภาพแวดล้อมที่กล้วยไม้ขึ้นอยู่ ก็มีส่วนทำให้อายุของฝักกล้วยไม้แปรเปลี่ยนไปได้พอสมควรเช่นกัน
แม้ว่ากล้วยไม้จะเป็นพันธุ์ไม้ประเภทเดียวกันกับพืชจำพวกข้าวและหญ้าก็ตาม แต่เมล็ดกล้วยไม้ก็มีองค์ประกอบหลักที่ไม่เหมือนกับพืชเหล่านั้น เมล็ดพืชทั่วๆไปจะมีองค์-ประกอบหลักอยู่ ๓ ส่วนด้วยกันคือ เปลือกเมล็ด เชื้อที่จะงอกและเจริญขึ้นมาเป็นต้นอ่อน และอาหารสำหรับเลี้ยงเชื้อ ในขณะที่กำลังงอกและยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ แต่เมล็ดกล้วยไม้มีเพียง ๒ ส่วนเท่านั้นคือ เปลือกเมล็ดกับเชื้อที่จะงอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อน ดังนั้น เมล็ดกล้วยไม้จึงไม่สามารถจะงอกได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมต่างๆเหมาะสมก็ตาม
จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเชื้อราจำพวกหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกรวมๆว่า "ไมคอไรซา" (Mycorhiza) ช่วยให้อาหารแก่เชื้อ และเมื่อต้นกล้วยไม้เจริญเลี้ยงตัวเองได้แล้ว เชื้อราประเภทนี้จะอาศัยดำรงชีวิตอยู่ภายในผิวของรากกล้วยไม้ต่อไป ดังนั้นเราจึงพบว่า เมล็ดกล้วยไม้ที่งอกในป่าตามธรรมชาติจะกระ-จายอยู่ไม่ไกลจากต้นเดิมมากนัก บางครั้งก็พบงอกอยู่ใกล้ๆผิวของรากกล้วยไม้ใหญ่ เชื้อราประเภทนี้มีอยู่หลายชนิดด้วยกันบางชนิดก็มีความเหมาะสมกับกล้วยไม้บางกลุ่มบางพวกเท่านั้นดังนั้น ในการเล่นกล้วยไม้สมัยก่อนๆ ขณะที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ เจริญมากนัก ผู้สนใจกล้วยไม้ในสมัยนั้นได้ใช้วิธีการเพาะเมล็ดกล้วยไม้โดยเลียนแบบธรรมชาติ คือ นำเมล็ดกล้วยไม้ที่แก่แล้วซึ่งมีลักษณะเป็นผงละเอียดไปหว่านลงบริเวณใกล้โคนต้นแม่พันธุ์ และเนื่องจากเมล็ดกล้วยไม้ที่ได้จากฝักหนึ่งๆ มีเป็น จำนวนแสนเมล็ด แม้จะได้รับอันตรายไปมากพอสมควร ก็ยังมีบางส่วนที่งอกเป็นต้นขึ้นมาได้ ชีวิตที่พึ่งพาอาศัย ธรรมชาติซึ่งกันและกันในธรรมชาติ เช่น กล้วยไม้กับเชื้อรานี้ ภาษาวิชาการเรียกว่า "ซิมไบโอซิส" (symbiosis)เมื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ได้เจริญขึ้น มนุษย์จึงได้เรียนรู้วิธีการเพาะเมล็ดกล้วยไม้โดยมิต้องอาศัยเชื้อราอีกต่อไปได้มีนักพฤษศาสตร์ชาวยุโรปและอเมริกันประกาศความสำเร็จในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ในขวดแก้ว โดยใช้วุ้นเป็นพื้นและผสมธาตุอาหารต่างๆ ที่เมล็ดกล้วยไม้ต้องการ เพื่อการงอกและเจริญเติบโตในระยะหนึ่ง พร้อมทั้งปรับสภาวะความเป็นกรดของวุ้นอาหารให้เหมาะสมกับการที่เมล็ดและต้นอ่อนของกล้วยไม้นั้นจสามารถใช้อาหารให้เกิดประโยชน์มากที่สุดการเตรียมวุ้นอาหารจำเป็นต้องอยู่ในสภาวะปลอดจากเชื้ออื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อจุลินทรีย์ที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าซึ่งปะปนอยู่ในบรรยากาศ และสิ่งต่างๆทั่วๆไป มิฉะนั้นแล้วเชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้จะเจริญงอกงามอย่างรวดเร็วในวุ้นอาหารของกล้วยไม้ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการงอกของเมล็ดอย่างร้ายแรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น